Bond
ตราสารหนี้
ตราสารหนี้ คือ เครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่ง
โดยถ้าเราซื้อตราสารหนี้เท่ากับเรามีสภาพเป็นเจ้าหนี้ เหมือนกับเราเอาเงินไปให้คนอื่นยืม ส่วนคนที่ออกตราสารให้เราจะมีสภาพเป็นลูกหนี้เรา
โดยผลตอบแทนที่ได้ คือ ดอกเบี้ยครับ
โดยปกติอายุของตราสารหนี้จะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่วันแรกที่ออกตราสารแล้ว เช่น อายุ 6
เดือน,1 ปี,3 ปี,5
ปี เป็นต้น โดยระหว่างที่ตราสารหนี้ยังไม่ครบอายุ
จนถึงวันที่ตราสารหนี้หมดอายุ ลูกหนี้จะต้องทำการชำระคืนเงินต้น
พร้อมดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก นอกจากนี้
กรณีที่ผู้ออกตราสารล้มละลาย ผู้ถือตราสารหนี้มีสิทธิเรียกร้องทรัพย์สินเหนือกว่าผู้ถือหุ้นอีกด้วย
ใครเป็นผู้ออกตราสารหนี้ได้บ้าง?
1.รัฐบาล ถือว่าเป็นตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำมาก เพราะ ลูกหนี้เป็นถึงรัฐบาล โอกาสเบี้ยวหนี้ มีน้อยมาก โดย ถ้าต้องการใช้เงินแบบสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี จะเรียกว่า ตั๋วเงินคลัง( Treasury bill) แต่ถ้าเกิน 1 ปีจะเรียกว่าพันธบัตรรัฐบาล (government bond)
2.รัฐวิสาหกิจ คือ องค์กรที่มีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และแสวงหาผลกำไร เช่น การปะปา การไฟฟ้า ซึ่งก็มีความเสี่ยงต่ำ (แต่สูงกว่า ตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรเพียงหน่อยเดียว ) ตราสารแบบนี้จะเรียกว่า พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ (state enterprise bond)
3.บริษัทเอกชน โดยถ้าออกเพื่อใช้หมุนเวียนในธุรกิจน้อยกว่า 1 ปี จะ เรียกว่า ตั๋วแลกเงิน(ตั๋ว B/E หรือ หุ้นกู้ระยะสั้น) แต่ถ้าต้องการใช้เงินระยะยาวมากกว่า 1 ปี ก็จะออกหุ้นกู้ (Bonds) โดยถ้าลงทุนในบริษัทชั้นดี เช่น ฐานะการเงินดี มีกำไรต่อเนื่อง ก็จะมีความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็ต่ำเช่นกัน แต่ถ้าลงทุนในบริษัทที่มีประวัติการเงินไม่ค่อยดี ก็จะมีความเสี่ยงไม่ได้เงินต้น หรือ ดอกเบี้ยตามที่กำหนด แต่ข้อดีคือ ดอกเบี้ยจะมากกว่า บริษัทชั้นดีครับ
1.รัฐบาล ถือว่าเป็นตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำมาก เพราะ ลูกหนี้เป็นถึงรัฐบาล โอกาสเบี้ยวหนี้ มีน้อยมาก โดย ถ้าต้องการใช้เงินแบบสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี จะเรียกว่า ตั๋วเงินคลัง( Treasury bill) แต่ถ้าเกิน 1 ปีจะเรียกว่าพันธบัตรรัฐบาล (government bond)
2.รัฐวิสาหกิจ คือ องค์กรที่มีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และแสวงหาผลกำไร เช่น การปะปา การไฟฟ้า ซึ่งก็มีความเสี่ยงต่ำ (แต่สูงกว่า ตั๋วเงินคลังหรือพันธบัตรเพียงหน่อยเดียว ) ตราสารแบบนี้จะเรียกว่า พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ (state enterprise bond)
3.บริษัทเอกชน โดยถ้าออกเพื่อใช้หมุนเวียนในธุรกิจน้อยกว่า 1 ปี จะ เรียกว่า ตั๋วแลกเงิน(ตั๋ว B/E หรือ หุ้นกู้ระยะสั้น) แต่ถ้าต้องการใช้เงินระยะยาวมากกว่า 1 ปี ก็จะออกหุ้นกู้ (Bonds) โดยถ้าลงทุนในบริษัทชั้นดี เช่น ฐานะการเงินดี มีกำไรต่อเนื่อง ก็จะมีความเสี่ยงต่ำ แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็ต่ำเช่นกัน แต่ถ้าลงทุนในบริษัทที่มีประวัติการเงินไม่ค่อยดี ก็จะมีความเสี่ยงไม่ได้เงินต้น หรือ ดอกเบี้ยตามที่กำหนด แต่ข้อดีคือ ดอกเบี้ยจะมากกว่า บริษัทชั้นดีครับ
ขอบคุณภาพจาก: https://www.ktzmico.com
แล้วหุ้นกู้มีกี่ประเภท? เรามาดูกันครับ
แบ่งตามสิทธิในการเรียกร้อง
1.หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinate
bond) กรณีที่ผู้ออกตราสารล้มละลาย
หลังจากเจ้าหนี้ที่มีประกัน เจ้าหนี้สามัญ ได้รับชำระหนี้ไปแล้ว
ทรัพย์สินที่เหลือจึงจะนำมาเฉลี่ยให้กับเจ้าหนี้ประเภทด้อยสิทธิ
แล้วตามด้วยผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ และสุดท้าย คือ หุ้นสามัญ
2.หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ
มีสิทธิทัดเทียมกับเจ้าหนี้ที่มีหลักประกัน(กรณีหุ้นกู้มีหลักประกัน) หรือ
เจ้าหนี้สามัญรายอื่นๆในการเรียกร้องให้ชำระหนี้
และมีสิทธิเรียกร้องสูงกว่าผู้ถือตราสารหนี้ด้อยสิทธิ
แบ่งตามการใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน
1.หุ้นกู้มีหลักประกัน ตราสารหนี้ที่ผู้ออกนำสินทรัพย์เป็นหลักประกันในการออก
หลังจากนั้นจึงค่อยนำทรัพย์สินที่เหลือมาเฉลี่ยให้กับเจ้าหนี้ประเภทไม่มีประกัน
ประเภทด้อยสิทธิ ตามด้วยผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิ และสุดท้าย คือ หุ้นสามัญ
2.หุ้นกู้ไม่มีหลักประกัน
ผู้ถือตราสารหนี้ชนิดนี้อาจมีฐานะเป็นเจ้าหนี้สามัญทั่วไปของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้
หรืออาจมีสถานะเทียบเท่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิก็ได้
ถ้าแบ่งตามชนิดของสิทธิแฝง
(embedded option) ที่ติดมาพร้อมกับตราสารหนี้ จะได้
-หุ้นกู้ที่จ่ายดอกเบี้ยคงที่และปราศจากสิทธิแฝงอื่น (straight /
fixed rate and option free bond)
-หุ้นกู้จ่ายดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating rate bond)
-หุ้นกู้แปลงสภาพ (convertible bond)
-หุ้นกู้ประเภททยอยจ่ายคืนเงินต้น (Amortizing bond)
-หุ้นกู้ที่ผู้ออกมีสิทธิเรียกคืนก่อนกำหนด (Callable bond)
-หุ้นกู้ที่ผู้ถือมีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนด (Puttable bond)
-หุ้นกู้ที่เกิดจากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization)
-ตราสารหนี้ประเภทไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (Perpetual Bond)
ซึ่งรายละเอียด ลองศึกษาได้จาก: http://www.thaibond.com/bondmarket/bond_type.html
นอกจากนี้ ตราสารหนี้บางตัวที่เราไม่ค่อยคุ้นหู
บัตรเงินฝาก ( NEGOTIABLE CERTIFICATE OF DEPOSIT / NCD )
คือตราสารชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายการฝากเงินแบบประจำ ที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ฝากเงิน ต่าง จากการฝากประจำตรงที่สามารถเปลี่ยนมือจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ และจำนวนเงินขั้นต่ำในการฝากเงิน อยู่ที่ 5 แสนบาท โดยระยะเวลาที่ฝากจะอยู่ระหว่าง 3 เดือนถึง 3 ปี แล้วแต่จะกำหนด ผู้ถือจะได้รับเงินต้น และดอกเบี้ยทั้งหมดก็ต่อเมื่อถือจนครบกำหนด ดังนั้นผลตอบแทนจึงมักมากกว่าการฝากประจำ
สลิปส์ - แคปส์ ( SLIPS , CAPS )
คือ หุ้นบุริมสิทธิ์ควบหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ ที่สถาบันการเงินนำออกมาขายระดมทุนในช่วงเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน เนื่องจากไม่สามารถเพิ่มทุนในรูปของหุ้นสามัญได้ จึงระดมทุนในรูปหุ้นบุริมสิทธิ์ ที่มีหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ดอกเบี้ยสูงถึง 22 % มาจูงใจ โดยคาดการณ์ว่า ในช่วง 5 ปีแรก บริษัทคงยังไม่มีกำไรมาจ่ายเงินปันผลให้หุ้นบุริมสิทธิ์ ดอกเบี้ยรับเฉลี่ยจึงตกปีละ 11 % เมื่อครบ 5 ปีสถาบันการเงินเหล่านี้มีสิทธิไถ่ถอนหลักทรัพย์ดังกล่าวได้
ตั๋วสัญญาใช้เงิน ( PROMISSORY NOTE / P/N )
เป็นหนังสือซึ่งผู้ออกตั๋วให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่ง ให้แก่บุคคลหนึ่ง คล้ายๆการเขียนเช็คล่วงหน้าเพียงแต่ผู้ออกตั๋วต้องอยู่ในรูปของบริษัท และตั๋วเงินนี้ต้องติดอากรแสตมป์ให้เรียบร้อยแต่ความหมายของตั๋วสัญญาใช้เงินในท้องตลาดหมายถึง ตั๋วเงินที่บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ จะออกให้กับผู้ฝากเงิน ซึ่งมักให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากธนาคาร การฝากเงินสามารถฝากได้ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ตามกำหนดเวลาที่ต้องการ
แล้วหุ้นกู้เค้ามีการจัดอันดับความเสี่ยงยังไง? เดี๋ยวคราวหน้ามาว่ากันต่อครับ
-หุ้นกู้จ่ายดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating rate bond)
-หุ้นกู้แปลงสภาพ (convertible bond)
-หุ้นกู้ประเภททยอยจ่ายคืนเงินต้น (Amortizing bond)
-หุ้นกู้ที่ผู้ออกมีสิทธิเรียกคืนก่อนกำหนด (Callable bond)
-หุ้นกู้ที่ผู้ถือมีสิทธิไถ่ถอนก่อนกำหนด (Puttable bond)
-หุ้นกู้ที่เกิดจากการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization)
-ตราสารหนี้ประเภทไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (Perpetual Bond)
ซึ่งรายละเอียด ลองศึกษาได้จาก: http://www.thaibond.com/bondmarket/bond_type.html
นอกจากนี้ ตราสารหนี้บางตัวที่เราไม่ค่อยคุ้นหู
บัตรเงินฝาก ( NEGOTIABLE CERTIFICATE OF DEPOSIT / NCD )
คือตราสารชนิดหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายการฝากเงินแบบประจำ ที่ธนาคารพาณิชย์ออกให้แก่ผู้ฝากเงิน ต่าง จากการฝากประจำตรงที่สามารถเปลี่ยนมือจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ และจำนวนเงินขั้นต่ำในการฝากเงิน อยู่ที่ 5 แสนบาท โดยระยะเวลาที่ฝากจะอยู่ระหว่าง 3 เดือนถึง 3 ปี แล้วแต่จะกำหนด ผู้ถือจะได้รับเงินต้น และดอกเบี้ยทั้งหมดก็ต่อเมื่อถือจนครบกำหนด ดังนั้นผลตอบแทนจึงมักมากกว่าการฝากประจำ
สลิปส์ - แคปส์ ( SLIPS , CAPS )
คือ หุ้นบุริมสิทธิ์ควบหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ ที่สถาบันการเงินนำออกมาขายระดมทุนในช่วงเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน เนื่องจากไม่สามารถเพิ่มทุนในรูปของหุ้นสามัญได้ จึงระดมทุนในรูปหุ้นบุริมสิทธิ์ ที่มีหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ดอกเบี้ยสูงถึง 22 % มาจูงใจ โดยคาดการณ์ว่า ในช่วง 5 ปีแรก บริษัทคงยังไม่มีกำไรมาจ่ายเงินปันผลให้หุ้นบุริมสิทธิ์ ดอกเบี้ยรับเฉลี่ยจึงตกปีละ 11 % เมื่อครบ 5 ปีสถาบันการเงินเหล่านี้มีสิทธิไถ่ถอนหลักทรัพย์ดังกล่าวได้
ตั๋วสัญญาใช้เงิน ( PROMISSORY NOTE / P/N )
เป็นหนังสือซึ่งผู้ออกตั๋วให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่ง ให้แก่บุคคลหนึ่ง คล้ายๆการเขียนเช็คล่วงหน้าเพียงแต่ผู้ออกตั๋วต้องอยู่ในรูปของบริษัท และตั๋วเงินนี้ต้องติดอากรแสตมป์ให้เรียบร้อยแต่ความหมายของตั๋วสัญญาใช้เงินในท้องตลาดหมายถึง ตั๋วเงินที่บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ จะออกให้กับผู้ฝากเงิน ซึ่งมักให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากธนาคาร การฝากเงินสามารถฝากได้ตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ตามกำหนดเวลาที่ต้องการ
แล้วหุ้นกู้เค้ามีการจัดอันดับความเสี่ยงยังไง? เดี๋ยวคราวหน้ามาว่ากันต่อครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น